เสนเฮือน คือการเซ่นผีเรือนของชาวไทยทรงดำ คำว่า “ เสนเฮือน “ เดิมคงเป็นเซ่นผีเฮือนแล้วกร่อนเป็น เซ่น เฮือน จึงกลายเป็น เสนเฮือน (เฮือน แปลว่า เรือน)
การเสนเฮือน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1) เสนเฮือนธรรมดา
2) เสนผีเรียกขวัญ
a. กลุ่มสายผีผู้น้อย
- เสนผู้น้อย มีการฆ่าสุกรที่เตรียมไว้
b. กลุ่มสายผีผู้ท้าว
- เสนผู้ท้าว เรียกว่า เสนใหญ่มีการฆ่าควาย
- เสนตังบั่งหน่อ คือการที่คนรับเลี้ยงมด (คือ พ่อมด แม่มด หรือหมอมนต์ หมอบ้านหมอเมือง ซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีในการเสนเรือน)
การเกิด ของชาวไทยทรงดำปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ด้วยมีการรับและผสมผสานวัฒนธรรมพุทธเข้าไว้ด้วย ตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้วตั้งแต่ผู้เป็นแม่รู้ตนเองว่ามีครรภ์ ผู้เป็นแม่คงทำงานตามปกติโดยเชื่อว่าก่รได้ออกแรงจะทำให้คลอดลูกง่าย ก่อนคลอดมีการทำพิธีเซ่นผีเรือนเรียกว่า “วานขวัญผีเรือน” คอยหมอขวัญเป็นผู้ทำพิธีฆ่าไก่เซ่นผีญาติพี่น้องที่ตายทั้งกลมหรือตายในขณะคลอดลูกเพื่อไม่ให้มารบกวนในขณะคลอดเมื่อเด็กคลอดแล้วจะตัดสายรกซึ่งเรียกว่า“สายแห่” จากนั้นอาบน้ำเด็กด้วยน้ำอุ่นแล้วนำไปวางในกระด้งรอจนกระทั่งสายรกหลุดออกมา นำรกใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วเอาไปแขวนที่คบไม้ใหญ่ในป่า ส่วนผู้เป็นแม่ก็ให้ล้างทำความสะอาดร่างกายเล็กน้อยแล้วนั่งอยู่ไฟเป็นเวลา 1 เดือน เรียกว่า “อยู่กำเดือน” ขณะอยู่ไฟต้องอาบน้ำร้อนต้มผสมใบไม้ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านจนครบเดือน ในระยะแรก ของการอยู่ไฟจะนั่งอยู่ที่เตาไฟตลอดเวลา 3 วัน เรียกว่า “อยู่กำไฟ”แม่กำเดือนหรือหญิงที่อยู่ไฟจะรับประทานได้ เฉพาะข้าวเหนียวนึ่งกับเกลือคั่วหรือเกลือเผาจนครบ 3 วัน จึงออกกำไฟ จากนั้นมีการเซ่นผีย่าไฟโดยใช้ไข่ 1 ฟอง ไปวางไว้ที่ทารกแรกคลอดทำพิธีเซ่นสู่ขวัญเพื่อให้ดูแลรักษา เด็กน้อยที่เกิดใหม่ สำหรับแม่ใช้ไก่ต้ม ข้าวต้ม ขนม จัดใส่สำรับทำพิธีสู่ขวัญ เมื่อถึงเวลากลางคืนก็ให้แม่และเด็กน้อย ย้ายไปนอนที่นอนตามปกติ แต่ผู้เป็นแม่จะต้องอยู่ไฟ ต่อไปจนครบ 30 วัน จึงสามารถออกมากำเดือนได้ แต่ในปัจจุบันไทยทรงดำสาวนใหญ่คลอดลูกที่โรงพยาบาลจึงไม่เห็นการประกอบพิธีนี้แล้ว
การบวช การบวชเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นภายหลัง (ก่อนหน้านี้ประมาณ 50 ปี) เมื่อมีคนเชื้อสายไทยทรงดำเข้ามาอย฿่ร่วมกับคนไทยในประเทศไทยจึงรับเอาประเพณีบวชในพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยโดยผสมผสานกับวัฒนธรรมตนและถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สำคัญ เมื่อเด็กหนุ่มอายุ 20 ปี บริบูรณ์จะเข้ารับการบวช ก่อนบวชประมาณ 15 วัน จะไปอยู่วัดเพื่อฝึกท่องบทสวดและเรียนรู้การใช้ชีวิตสมณเพศ และช่วยเหลือทางวัด สำหรับพิธีต่างๆ ในการรบวชจะคล้ายๆกับคนไทยนอกจากมีธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่าเกี่ยวกับผีที่แตกต่างออกไปเช่น การบอกกล่าวผีเรือนในกะล้อห๋อง
การแต่งงาน ไทยทรงดำเรียกว่าพิธีแต่งดองหรือกินดองใหญ่(งานเลี้ยงเพื่อเกี่ยวดองกันเป็นญาติ) หรือเรียกสั้นๆว่า งานกินดองหรืองานกินหลอง เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวมีความรักกันใคร่กันถึงขั้นจะแต่งงานกับฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่ (เถ้าแก่) ไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง เรียกว่าไปโลมหรือไปโอ้โลมโดยต้องนำหญิงสาวที่มีชีวิตการแต่งงานราบรื่นไปด้วย พร้อมกับหมากพลู 2 ชุด เมื่อตกลงกันเรียบร้อยก็นัดหมายทำการหมั้นหรือแต่งงาน พิธีการแต่งงานของไทยทรงดำมี 4 ขั้นตอนคือ “ส่อง สู่ ส่ง สา” กล่าวคือในขั้นตอนที่ 1 การหมั้นหรือส่อง ฝ่ายชายจะนำหมากพลูไปให้ฝ่ายหญิงไว้ ในขั้นตอนที่ 2 ขั้นสู่ ฝ่ายชายไปเยี่ยมฝ่ายหญิงที่หมั้นหมายไว้เป็นระยะๆเรียกว่า “ไปหยามห่อมะปู” หมายความว่าไปเยี่ยมห่อหมากพลู ในขั้นที่ 3 ขั้นส่ง เป็นการส่งตัวเจ้าสาวในพิธีแต่งงาน ซึ่งถือเป็นขั้นสำคัญที่สุด ในขั้นที่ 4 ขั้นอาสา เป็นช่วงที่ เจ้าบ่าวอาสารับใช้ครอบครัวของเจ้าสาวเป็นเวลา 1-5 ปี ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน หญิงใดตั้งท้องนอกสมรส เรียกว่า “มานทาง” ผู้ชายจะต้องเสียเงินให้ฝ่ายหญิงและอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หากฝ่ายชายไม่ยอมรับผู้หญิงเป็นภรรยาจะต้องเสียค่าปรับไหมให้แก่ฝ่ายหญิง ในกรณีที่หญิงนั้นตายต้องเสียค่าปรับไหมให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงเรียกว่า”เฮียวซาว” โดยให้ฆ่าควาย 1 ตัว เพื่อเลี้ยงผู้มาช่วยงานศพและต้องรับภาระในการจัดงานศพทั้งหมด
การขึ้นบ้านใหม่ หรือขึ้นเฮือนใหม่ของคนไทยทรงดำนิยมทำพิธีกันในเดือน 6 และเดือน 12 โดยแต่ละบ้านจะเลือกวันที่เหมาะสมและไม่ให้ตรงกับวันปาดตง (วันไหว้ผีเรือน) พิธีขึ้นบ้านใหม่จะเริ่มเวลาประมาณ 17.00-19.00 น. เจ้าของบ้านจะแต่งกายด้วยชุดเสื้อฮีและเตรียใขมุก 1 คู่ กระบุง 1 ใบ ไหนึ่งข้าว 1 ไห หม้อนึ่ง 1 ใบ ก้อนหิน 4 ก้อน เหล้าขาว ไก่ต้ม 3 ตัว ฟูก มุ้ง หมอน และผ้าห่ม จากนั้นทำพิธีเลาผีเฮือน คือเชิญผีเฮือนขึ้นบ้านใหม่ แล้วนึ่งข้าวก่อไฟบนเตาที่ใช้ก้อนหิน 3 ก้อนเรียกว่า พิธีจี่ไฟไหข้าว แสดงถึงลักษณะเริ่มต้นการดำรงชีวิตใหม่ จากนั้นเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นเป็นเสร็จพิธี
พิธีวันขึ้นปีใหม่ ตามธรรมเนียมของไทยทรงดำแต่เดิม วันขึ้นปีใหม่นั้นจะเริ่มขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำของเดือน 6 ซึ่งถือว่าเป็นวันแรกของการเริ่มทำงานของไทยทรงดำ หลังจากที่หยุดพักผ่อนตลอดเดือน 5 ตั้งแต่วันเริ่มปีใหม่จะมีการเริ่มพิธีเสนต่างๆ มีการปฏิบัติตัวใหม่ ละทิ้งสิ่งที่ไม่ดี ส่วนกิจกรรมในวันขึ้นปีใหม่ก็คล้ายๆ กับคนไทยคือ การไปวัดทำบุญ
ประเพณีงานศพ มื่อมีคนตายในหมู่บ้านชาวบ้านทุกครัวเรือนจะให้ความสำคัญกับการตายมาก จะหยุดงานการทุกอย่างที่ทำและมาช่วยกันจัการกับงานศพ ในวันแรกที่มีคนตาย ญาติพี่น้องจะอาบน้ำแต่งตัวให้ศพ โดยให้ใส่เสื้อฮีด้านที่มีสีสัน แล้วยกศพวางบนแคร่ไม้ไผ่ที่ทำขึ้น นำไปวางไว้ใต้ขื่อบ้านตามยาว รองและคลุมศพด้วยผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายสีขาวหรือแดง บ้านที่มีฐานะดีจะจัดทำ “เรือนแส” ครอบศพ เรือนแสเป็นมุ้งใหญ่ที่ทำด้วยผ้าขาว หรือจะทำเป็นม่านล้อมรอบศพก็ได้ เหนือศพจะทำราวแขวนผ้าที่ทอไว้ นอกจากผ้าไหมและผ้าฝ้ายที่แขวนไว้นี้ก็จะมีไข่ดิบห่อข้าวเหนียวแขวนไว้ด้วย ปลายเท้าศพจะวางเครื่องเซ่นไหว้ ตอนกลางคืนจะมีการก่อกองไฟไว้ข้างบ้านติดกับห้องผีเป็นสัญลักษณ์ของคนตาย และปล่อยให้ลุกทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหมอพิธีที่เรียกว่า “เขย” จะทำพิธีบอกทางให้กับผู้ตาย เพื่อให้วิญญาณกลับไปเมืองแถนบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งปัจจุบันนี่เปรียบเสมือนเมืองฟ้าเมืองสวรรค์สำหรับผู้ตาย หลังจากนั้นจึงหาบศพไปเผาที่ป่าแฮ่วหรือป่าช้า โดยให้ผู้เป็นลูกชายผู้ตายถือธงนำหน้าเมื่อถึงป่าแฮ่ว หมอพิธีต้องทำพิธีเสี่ยงทายเพื่อขอซื้อที่สำหรับเผาศพ เมื่อได้ที่แล้ว จึงช่วยกันถางหญ้าพรวนดินให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วปักเสา 4 เสา วางแคร่บนปลายเสา กองฟืนไว้ใต้เสา แล้วหมอพิธีจุดไฟเผาไล่มด จากนั้นเจ้าภาพจะจุดไฟเป็นคนแรก วันรุ่งขึ้น ญาติจะไปเก็บกระดูก และทำพิธีส่งผี คือส่งเสื้อผ้าเครื่องใช้ไปให้ผี เช่น ธงสำหรับให้ผู้ตายเกาะชายธงไปเมืองฟ้า เสาหลวงเป็นพาหนะให้ศพขี่ไปเมืองฟ้า เรือนแก้วสำหรับเป็นบ้านเรือนให้ผู้ตายได้อยู่ในเมืองฟ้า เป็นต้น หลังจากพิธีส่งผีแล้ว จะต้องหาวันที่ทำพิธีแผ้วเรือน เพื่อล้างเรือนให้สะอาดเสียก่อนที่จะอยู่อาศัยกันต่อไปโดยปราศจากทุกข์โศก เพราะเชื่อกันว่าบ้านที่มีคนตายเป็นเรือนร้ายไม่สะอาดบริสุทธิ์
ชายหนุ่มกับหญิงสาวจาวโซ่ง ถ้ามีความรักใคร่ชอบพอกันถึงขั้นตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกันหรือแต่งงานกัน เพื่อจะทราบข่าวฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่ไปเจรจาทาบทามกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ผู้หญิงนั้นรักใคร่ชอบพอกับฝ่ายชายจริงหรือไม่ เรียกว่า“ไปเจ๊าะ”
พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะถามลูกสาวของตัวเองว่ามีความพอใจรักใคร่กับฝ่ายชายจริงหรือไม่ ยินดีตกลงใจจะแต่งงานกับฝ่ายชายหรือไม่ หรือยินดีตอบรับการมาทาบทามสู่ขอของฝ่ายชายในครั้งนี้หรือไม่ เป็นต้น
ประมาณ 2-3 วัน ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะไปเจรจาถามไถ่ดูว่าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงตกลงที่จะรับลูกชายเป็นเขยไหม และลูกสาวตกลงหรือไม่ ถ้าตกลงก็จะสอบถามเกี่ยวกับค่าเลี้ยงดูและค่าน้ำตู้น้ำนม หรือ ค่าสินสอดทองหมั้นนั่นเอง ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะยังไม่รับปากตกลงในทันที
จะต้องกลับมาปรึกษา เรียกว่า“ไปป๋อง”หรือไปขอ
เมื่อทางฝ่ายชายตกลงเรียบร้อยแล้ว จะหาวันที่เป็นฤกษ์ดีและกำหนดวันแต่ง บอกตกลงตามที่ฝ่ายหญิงเรียกค่าสินสอดทองหมั้น และนัดวันที่เป็นฤกษ์ดีสำหรับการเตรียมงาน เรียกว่า ไปนัด หรือ ตกลง เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จะต้องเตรียมของที่จำเป็นที่จะใช้ในพิธีแต่งงาน และเตรียมบอกแขกมากินดอง
คำพูดภาษาโซ่งที่พูดบอกกับแขกว่า “ไปจ๊มกินจ๊มมวน นำแอ๋” (จ๊ม)
ในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีลูกสาวคนเดียว หลังจากแต่งงานกันแล้วจำเป็นต้องให้ฝ่ายชายมาอยู่ที่บ้านของฝ่ายหญิงด้วย จะเรียกว่า “เขยสู่”
การเตรียมการของฝ่ายชาย
1.หาล่ามขันหมาก 1 คน
2.ขันหมาก ผู้น้อยใช้ 2 อัน ถ้าเป็นผู้ต๊าว (ผู้ท้าว)ใช้ 4 อัน
3.กะเหล็บ ผู้น้อยใช้ 2 อัน ถ้าเป็นผู้ต๊าว (ผู้ท้าว)ใช้ 4 อัน
4.กระเหล็บ 1 ใบ จะใส่เหล้า 1 ขวด ห่อหมากพลู 4 ห่อ ห่อปูน 4 ห่อ ห่อยาสูบ 4 ห่อ กะเหล็บทุกใบจะต้องมีสิ่งที่กล่าวมาแล้วบรรจุอยู่
5.จัดหาหญิงสาวจาวโซ่ง ซึ่งเป็นสาวโสดบริสุทธิ์ อายุประมาณ 15-16 ปี แต่งกายนุ่งผ้าซิ่นสวมเสื้อฮีมาเป้ หรือ สะพายกะเหล็บในวันงานแต่งงาน ถ้าเป็นงานแต่งงานผู้น้อยใช้หญิงสาว 2 คน ถ้าเป็นแต่งงานผู้ต๊าว (ผู้ท้าว) ใช้หญิงสาว 4 คน
6.จัดขบวนขันหมาก เตรียมสินสอดทองหมั้นเครื่องประกอบตามที่ตกลงกัน ถ้าทางฝ่ายหญิงไม่ได้เรียกค่าสินสอด ทางฝ่ายชายก็ควรจะเตรียมหาไปให้ครบถ้วนตามประเพณี
7.เตรียมหามีดโต้ที่ใส่ฝักมีด พร้อมสายสะพาย และถุงแดงใส่เครื่องเงินได้ (พ่อเจ้าบ่าวสะพายถุงแดง)
8.เพื่อนเจ้าบ่าว แต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีสุภาพ สวมเสื้อฮี(เจ้าบ่าวก็แต่งกายเหมือนกัน) ผู้น้อยใช้เพื่อนเจ้าบ่าว 4 คน คือ เจ้าบ่าว1 คน เพื่อนเจ้าบ่าว 2 คน และล่าม นำไล้ 1 คน แต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีสุภาพ สวมเสื้อฮี ส่วนผู้ต๊าว(ผู้ท้าว) ใช้เพื่อนเจ้าบ่าว 8 คน เจ้าบ่าว 1 คน เพื่อเจ้าบ่าว 6 คน และ ล่ามนำไล้ 1 คน แต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีสุภาพ สวมเสื้อฮี
9.ที่นอน 1 ชุด (สำหรับมอบในพิธี)
การเตรียมการของฝ่ายหญิง
1.จัดเตรียมที่นอน หมอน มุ้ง ตู้ เตียง ฯลฯ สำหรับการตั้งครอบครัวใหม่
2.จัดหาล่ามนำไหว้เฮา 1 คน แต่งกายนุ่งผ้าซิ่นสวมเสื้อฮี
3.จัดเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงแขก
4.(ขมุก)กระหมุก ใส่ผ้าฝ้ายขาวและไหม
5.บั้งใส่น้ำ (ทำจากกระบอกไม้ไผ่)
6.น้ำเต้าใส่น้ำ
7.ตั๋งรองนั่ง (ตั่งรองนั่ง) กรณีถ้าเป็นหญิงหม้าย ต้องเตรียมฟืมและเขา (อุปกรณ์ทอผ้า) มาด้วย
8.เพื่อนเจ้าสาวแต่งกายนุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อฮี ถ้าเป็นผู้น้อยใช้ 2 คน คือ เจ้าสาว 1 คน กับล่ามนำไหว้เฮา 1 คน แต่ถ้าเป็นผู้ต๊าว (ผู้ท้าว)ใช้ 4 คน คือ เจ้าสาว 1 คน เพื่อนเจ้าสาว 2 คน และล่ามนำไหว้เฮา 1 คน
วันสุกดิบของงาน
ในกรณีจัดงานแต่งงานที่บ้านของฝ่ายหญิง เรียกเอาหมูในตอนเย็นของวันสุกดิบ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะให้ล่ามนำหมูไปมอบให้ทางบ้านเจ้าสาว ทางฝ่ายเจ้าสาวเตรียมทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานแต่งงาน
ขั้นตอนของพิธีแต่งงาน
พิธีแต่งงานของจาวโซ่ง จะหมายถึง งานเลี้ยงฉลองเพื่อความเป็นญาติกันหรือเกี่ยวดองกัน พิธีการจะเริ่มขึ้นตอนเช้า เวลาประมาณ 07.30 น. ล่ามฝ่ายเจ้าบ่าวจะมาทำพิธีส่อง ที่บ้านเจ้าสาว โดยทำพิธีในห้องกะล้อห่อง ซึ่งมีล่ามหรือองค์ล่ามของฝ่ายเจ้าสาวคอยอยู่เพื่อเจรจา กับฝ่ายเจ้าบ่าว โดยมีพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงอยู่ในพิธีนั้นด้วย
บุคคลที่ฝ่ายชายส่งมาทำพิธีส่อง ได้แก่
1.องค์ล่าม แต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีสุภาพ สวมเสื้อฮี
2.พ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชาย ประมาณ 7-8 คน
3.หญิงสาวบริสุทธิ์ อายุประมาณ 15-16 ปี นุ่งผ้าซิ่นสวมเสื้อฮี ซึ่งทำหน้าที่เป้กะเหล็บ (สะพายกะเหล็บ) ในกะเหล็บจะบรรจุด้วย เหล้า 1ขวด ห่อหมากพลู 4 ห่อ ห่อปูน 4 ห่อ ห่อยา 4 ห่อ (หมากต้องใช้ทั้งลูก ใม่ใช่ผ่าซีก)
พิธีส่องในสมัยก่อนเหมือนกับพิธีหมั้นหรือแต่งงานนั่นเอง
การแต่งงานของจาวโซ่งสมัยรุ่นปู่ ยา ตา ยาย เมื่อทำพิธีส่องแล้วก็ไม่สามารถเข้าหลับนอนกับเจ้าสาวได้ ฝ่ายชายจะต้องไปเยี่ยมเยียนฝ่ายหญิงเป็นเวลา 3-7 วัน จึงจะเข้านอนกับฝ่ายหญิงได้ เรียกว่า “ไปหยามห่อหมากพลู” หลังจากทำพิธีส่องเสร็จแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวจะแทรกพิธีแบบไทยไว้ด้วย คือ มีการรดน้ำสังข์ ญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่ของฝ่ายเจ้าบ่าว เมื่อทำพิธีส่องเสร็จแล้วก็จะอยู่ร่วมรดน้ำสังข์ให้กับคู่บ่าวสาว ฝ่ายเจ้าบ่าวจะยกขบวนขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว เมื่อถึงบ้านเจ้าสาวแล้วขบวนขันหมากจะหยุดรออยู่ด้านนอกบ้านก่อน ล่ามกับเพื่อนเจ้าบ่าว 2 คน นำขันหมาก 2 ชุด ขึ้นไปป๋อง
จากนั้นจะนำขันหมากไปมอบให้กับผีเรือนก่อน เมื่อเสร็จพิธีล่ามและเพื่อเจ้าบ่าวลงมารับขบวนขันหมากจะมีการเจรจาให้ผ่านกั้นประตูเงิน ประตูทองขึ้นไปบนบ้านเจ้าสาวเพื่อทำพิธีการต่อไป
จากนั้นนำสิ่งของทุกอย่างพร้อมขบวนขันหมากไปทำพิธีมอบให้กับพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาว โดยผ่านล่ามของฝ่ายเจ้าสาว เพื่อนำไปทำพิธีมอบสิ่งของให้กับผีเรือนในกะล้อห่องต่อไป ฝ่ายเจ้าบ่าวจะนำเหล้ามาเรียกว่า “เหล้าอุ่นฝืน” ที่เรียกว่า “เหล้าฮิต” เป็นผู้น้อยใช้เหล้า 4 ขวด เป็นผู้ท้าวใช้ 8 ขวด นำไปมอบให้ฝ่ายเจ้าสาวในหนองก้อ(หนองก้อ คือ รินเหล้าลงในถ้วยที่อยู่กะล้อห่อง คือ ให้ผีเรือนดื่มก่อน) นำเหล้านั้นออกมารินให้ฝ่ายพ่อแม่เจ้าสาวดื่ม เรียกว่า “การเมีย”
ฝ่ายเจ้าบ่าว นับสินสอดทองหมั้น กันต่อหน้าพ่อแม่ ล่าม และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว เมื่อนับเสร็จเรียบร้อยครบถ้วนตามที่ตกลงกันแล้วพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวจะนำเงินมาปิดประตู แต่ต้องลงด้วยเลขคู่ ฝ่ายชายมอบสินสอดให้พ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวนำไปเก็บ
“(พ่อ) องค์ปอเอ้ยนอ ข่อยผู้ลุ มาลงเข่าไหว้เฮา เอาแฝด เจ้าเป็นปอข่อย อ้ายข่อยนา”
คำแปล คุณพ่อครับ ข้าพเจ้าลงคุกเข่าไหว้เท้า ด้วยความเคารพ ต่อไปนี้ ท่านเป็นพ่อของข้าพเจ้าแล้ว (ปอ คือ พ่อ หรือ อ้าย ข่อย คือ ตัวเจ้าบ่าว ) ไหว้แม่ ล่ามนำกล่าวว่า
“ นู่เอ้ยนอ ข้อยผู้ลุ มาลงเข้าไหว้เฮา เอาแฝด เจ้าเป็นแม่ข่อย (เอ็มข่อย) นา”
คำแปล เหมือนกับตอนไหว้พ่อ เพียงเปลี่ยนสรรพนาม จากองค์ปอ เป็น นู่ (หมายถึง แม่ หรือเอ็ม ข่อย คือ ตัวเจ้าบ่าว)
ลิขสิทธิ์ ©2020 ไทยทรงดำ - สงวนสิทธิ์ทุกประการ
ขับเคลื่อนโดย GoDaddy